รูปแบบขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมด้วย C++

 ในการพัฒนาโปรแกรมด้วยภาษา C++ นั้นมีกระบวนการสร้างและแปลภาษาอยู่ด้วยกัน 3 ขั้นตอนดังนี้

[กดที่ภาพ เพื่อดูขนาดใหญ่]

1. สร้างซอร์สโค้ด(Source Code) เป็นการเขียนโปรแกรมด้วยเท็กซ์อิดิเตอร์ (Editor) และ บันทึกเป็นไฟล์ Source Code นามสกุล .cpp

2. คอมไพล์ซอร์สโค้ด(Compile Source Code) คือการใช้คอมไพล์เลอร์ (Compiler) แปลภาษาจากไฟล์ซอร์สโค้ดเป็นภาษาเครื่อง (Machine Code) ในรูปแบบของออบเจ็ก(Object File) ที่มีนามสกุล .obj นอกจากนั้นยังเรียกออบเจ็กต์ไฟล์ว่าโมดูล(Module) ที่สามารถถูกนำไปเรียกใช้งานร่วมกับโปรแกรมอื่นๆได้

3. ลิงก์รวมเป็นไฟล์การทำงาน(.exe) ลิงก์เกอร์(Linker) จะทำหน้าที่รวมออบเจ็กต์ไฟล์ เข้ากับฟังก์ชันจากไลบารี่มาตรฐาน (Standard Library) ที่มีอยู่ในคอมไพเลอร์รวมทั้งไลบารีและโมดูลอื่นๆ ที่ได้เรียกใช้งานในส่วนหัวโค้ด แล้วจะได้ไฟล์การทำงานนามสกุล .exe เพื่อนำไปใช้งานได้

การพัฒนาโปรแกรมด้วย C++ มักจะมีขั้นตอนการทำงานที่เป็นระเบียบ ซึ่งช่วยให้สามารถพัฒนาโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพและจัดการได้ง่ายขึ้น โดยขั้นตอนเหล่านี้จะมีตั้งแต่การวางแผนจนถึงการทดสอบและปรับปรุงโปรแกรม

ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมด้วย C++

  1. การวางแผนโปรแกรม (Planning)

    • กำหนดปัญหาหรือเป้าหมาย: เริ่มจากการทำความเข้าใจปัญหาที่ต้องการแก้ไข และกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน
    • วิเคราะห์และออกแบบ: วางแผนโครงสร้างของโปรแกรม, กำหนดฟังก์ชันหลัก, และออกแบบโครงสร้างข้อมูลที่เหมาะสม.
  2. การออกแบบโครงสร้างโปรแกรม (Program Design)

    • ออกแบบ flowchart หรือ pseudocode: วางแผนลำดับการทำงานของโปรแกรมในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น Flowchart หรือ Pseudocode
    • เลือกเครื่องมือ: เลือกเครื่องมือพัฒนา เช่น IDE (เช่น Code::Blocks, Visual Studio) หรือ Text Editor (เช่น VS Code)
  3. การเขียนโค้ด (Coding)

    • เขียนโค้ดใน C++: เริ่มเขียนโปรแกรมโดยใช้ภาษา C++ ตามการออกแบบที่ได้วางแผนไว้
    • ใช้ฟังก์ชันต่างๆ: พัฒนาโปรแกรมโดยใช้ฟังก์ชันพื้นฐาน เช่น การรับ input, การคำนวณ, และการแสดงผล
    • ตรวจสอบการใช้งานของตัวแปร, การจัดการหน่วยความจำ: ต้องระวังการใช้หน่วยความจำอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ new และ delete
  4. การทดสอบ (Testing)

    • ทดสอบแต่ละฟังก์ชัน: ทดสอบโปรแกรมทีละส่วน (unit testing) เพื่อให้มั่นใจว่าทุกฟังก์ชันทำงานได้ถูกต้อง
    • ทดสอบโปรแกรมแบบครบวงจร (integration testing): ทดสอบการทำงานร่วมกันของฟังก์ชันต่าง ๆ
    • ทดสอบเงื่อนไขต่างๆ: ทดสอบการจัดการกับค่าผิดปกติ เช่น ข้อมูลที่ไม่ตรงตามเงื่อนไข, ตัวแปรที่เกินขนาด ฯลฯ
  5. การแก้ไขข้อผิดพลาด (Debugging)

    • หาจุดผิดพลาด (bugs): ใช้เครื่องมือ Debugger เช่น gdb หรือเครื่องมือใน IDE เพื่อหาจุดที่เกิดข้อผิดพลาดในโปรแกรม
    • แก้ไขข้อผิดพลาด: แก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ ตามที่พบ
  6. การปรับปรุงและเพิ่มฟีเจอร์ (Optimization & Enhancement)

    • ปรับปรุงประสิทธิภาพ: วิเคราะห์และเพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรม เช่น ลดเวลาในการคำนวณ, การใช้หน่วยความจำให้คุ้มค่า
    • เพิ่มฟีเจอร์ใหม่: เพิ่มคุณสมบัติใหม่ ๆ ตามความต้องการ เช่น GUI (Graphical User Interface) หรือฟังก์ชันใหม่ ๆ
  7. การทดสอบสมรรถนะ (Performance Testing)

    • ทดสอบประสิทธิภาพ: ทดสอบว่าโปรแกรมทำงานได้เร็วและประหยัดทรัพยากรหรือไม่ โดยทดสอบบนสภาพแวดล้อมจริง
    • ตรวจสอบการใช้หน่วยความจำ: ตรวจสอบว่าโปรแกรมไม่ใช้หน่วยความจำเกินกว่าที่จำเป็น
  8. การบันทึกและจัดทำเอกสาร (Documentation)

    • เขียนเอกสาร: จัดทำเอกสารให้กับโปรแกรม เช่น คู่มือผู้ใช้, รายละเอียดการทำงานของโปรแกรม, วิธีการติดตั้ง
    • อธิบายโค้ด: ใส่คอมเมนต์ในโค้ดเพื่อให้ผู้อื่นสามารถเข้าใจการทำงานของโค้ดได้ง่าย
  9. การเผยแพร่ (Deployment)

    • สร้างไฟล์ executable: สร้างไฟล์โปรแกรมให้สามารถรันได้ เช่น ไฟล์ .exe หรือ .out
    • ติดตั้งโปรแกรม: สร้างขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรมให้ใช้งานได้ง่าย (เช่น การสร้าง installer หรือ setup)
  10. การบำรุงรักษา (Maintenance)

    • แก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น: หากผู้ใช้งานพบข้อผิดพลาดใหม่ ๆ หรือมีคำแนะนำในการปรับปรุง
    • ปรับปรุงเวอร์ชัน: เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ หรือปรับปรุงประสิทธิภาพของโปรแกรมในรุ่นถัดไป

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น